การออกแบบวงจรในลักษณะซิงโครนัส
วงจรในรูปที่
9 ถึง 18 แสดงถึงการทริกให้ไตรแอกทำงานในลักษณะที่ซิงโครนัสกับสัญญาณไฟสลับที่ให้

รูปที่ 9 การทริกโดยใช้วงจรตรวจจับการตัดศูนย์ซึ่งจะทำงานเมื่อสวิตช์
S1 ถูกปิดวงจรลง
รูปที่
9 เป็นวงจรแบบซิงโครนัสที่ทำการทริกที่จุดใกล้กับจุดตัดศูนย์ของสัญญาณไฟสลับ
กระแสที่ใช้ในการทริกที่เกตของไตรแอกนั้น ได้มาจากส่วนของแรงดันไฟตรง 10
โวลต์ ที่ประกอบด้วย R1, D1, D2 และ C1 กระแสในการทริกนี้ถูกจ่ายออกมาจากทรานซิสเตอร์
Q1 ที่ถูกควบคุมให้ทำงานด้วย สวิตช์ S1 และวงจรตรวจจับการตัดศูนย์ ที่ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์
3 ตัวคือ Q2, Q3 และ Q4
ทรานซิสเตอร์
Q1 จะป้อนกระแสให้แก่เกตของไตแอกก็ต่อเมื่อสวิตช์ S1 ถูกปิดวงจรลง และ Q4
จะต้องหยุดทำงานด้วย การทำงานของวงจรตรวจจับการตัดศูนย์ คือทรานซิสเตอร์
Q2 หรือ Q3 จะทำงานเมื่อสัญญาณไฟสลับที่ให้เริ่มเข้ามาเป็นบวกหรือลบ ในค่าแรงดันประมาณ
2 - 3 โวลต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับค่าความต้านทาน VR1 ในวงจรในกรณีทั้งสองนี้จะทำให้
Q4 ทำงานเนื่องจากกระแสเบสที่ไหลผ่าน R3 ซึ่งจะเป็นตัวไปหยุดการทำงานของ
Q5 จะเห็นได้ว่าไตรแอกจะถูกกระตุ้นให้ทำงานเมื่อสวิตช์ S1 ถูกปิดวงจรอยู่และจะต้องอยู่ในช่วงขณะที่
Q4 ยังไม่เริ่ม ทำงาน การกระตุ้นให้ไตรแอกทำงานในลักษณะนี้จะเป็นการลดผลที่เกิดขึ้นจาก
RFI ให้มีค่าต่ำที่สุด

รูปที่ 10 การดัดแปลงวงจรรูปที่
9 ให้ทำงานเมื่อ S1 ถูกเปิดวงจรออก
ส่วนวงจรในรูปที่
10 แสดงถึงวิธีการดัดแปลงวงจรจากรูปที่ 9ให้มีลักษณะการทำงานกลับคือ ไตรแอกจะถูกกระตุ้นให้ทำงานได้ก็ต่อเมื่อสวิตช์
S1 ถูกเปิดออก วงจรทั้งสองรูปนี้จะทำการกรตุ้นให้ไตรแอกทำงานด้วยกระแสที่มีลักษณะเป็นพลัส์แคบ
ๆ เท่านั้นดังนั้นค่าเฉลี่ยของกระแสไฟตรงที่ใช้จึงมีค่าต่ำมากประมาณ 1 มิลลิแอมป์หรือมากกว่าเล็กน้อย
และสวิตช์ S4 ที่อยู่ในวงจรสามารถเปลี่ยนไปใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์สวิตช์ที่สามารถควบคุมการทำงานจากความร้อน
แสง เสียง เวลาและอื่น ๆ ได้โดยง่ายทั้งสามารถใช้ออปโต้ไดโซเลเตอร์ ในการแยกวงจรออกจากกันเพื่อป้องกันอันตรายได้เช่นกัน
ปัจจุบันได้มีการสร้างไอซีขึ้นเพื่อใช้ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้แก่ไตรแอกโดยภายในประกอบด้วย
ส่วนของวงจรตรวจจับการตัดศูนย์ ประกอบสำเร็จอยู่ภายในเรียบร้อย แล้วซึ่งสะดวกต่อการนำไปใช้งานมาก
ไอซีประเภทนี้มีอยู่หลายเบอร์ด้วยกันเช่น CA3059 และ TDA1024 ไอซีทั้งสองนี้ภายในจะประกอบด้วยส่วนสร้างแรงดัน
ไฟตรงที่ใช้ในการจ่ายให้แก่วงจรภายในทั้งหมด วงจรตรวจจับการตัดศูนย์ และส่วนของวงจรที่จับกระแสในการใช้กระตุ้นเกตของไตรแอก

รูปที่ 11 แสดงวงจรภายในของไอซีเบอร์
CA3059
ในรูปที่
11 แสดงถึงวงจรภายในของไอซีเบอร์ CA3059 และการต่อร่วมกับวงจรภายนอก โดยไฟสลับจะต่อเข้ากับขา
5 โดยผ่านความต้านทาน Rs ซึ่งเป็นตัวกำหนดกระแสไม่ให้มากเกินไปปกติ จะใช้ค่าประมาณ
20 กิโลโอห์ม 5 วัตต์ สำหรับไฟ 220 โวลต์ ซีเนอร์ไดโอด D1 และ D2 ต่อกันอยู่ในลักษณะหันหลังชนกัน
เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้แรงดันที่ขา 5 นี้มีค่าเกิน ฑ8 โวลต์
ในช่วงบวกของสัญญาณไฟสลับที่เข้ามา ไดโอด D7 และ D13 ทำหน้าที่เรกติฟายทำให้แรงดันคร่อม
C1 มีค่าเป็น 6.5 โวลต์ วงจรส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวจ่ายแรงดันไฟตรงให้แก่วงจรภายในทั้งหมด
รวมทั้งกระแสที่ใช้ในการกระตุ้นการทำงานของไตรแอกด้วยซึ่งจะใช้กระแสเพียง
2 - 3 มิลลิแอมป์ เท่านั้น
ปริดจ์เรกติฟายเออร์
D3 - D6 และทรานซิสเตอร์ Q1 ทำหน้าที่เป้นส่วนตรวจจับการตัดศูนย์ โดย Q1
จะถูกป้อนกระแสให้ทำงานในลักษณะอิ่มตัวเมื่อแรงดันที่ขา 5 มีค่าเป็น -3 โวลต์
กระแสที่ถูกขับให้ไปกระตุ้นขาเกตของไตรแอกภายนอกนั้น ถูกต่ออยู่กับขา 4 โดยทรานซิสเตอร์
Q8 และ Q9 ที่ต่อกันอยู่แบบดาร์ลิงตัน กระแสนี้จะถูกขับออกมาเมื่อ Q7 หยุดทำงาน
โดยที่เมื่อ Q1 เริ่มทำงานเนื่องจากแรงดันที่ขา 5 มีค่าเป็น - 3 โวลต์ นั้น
Q6 จะหยุดทำงานซึ่งจะทำให้ Q7 เริ่มทำงานแทนในลักษณะอิ่มตัว เนื่องจากกระแสที่ไหลผ่าน
R7 ดังนั้นก็จะไม่มีกระแสขับออกจากขา 4
ในการกระตุ้นเกตของไตรแอกให้ทำงานนั้นจะเกิดขึ้น
เฉพาะที่จุดที่แรงดันของขา 5 มีค่าใกล้ศูนย์ โดยจะจ่ายกระแสออกมาในลักษณะเป็นพัลส์แคบ
ๆ ในจุดที่ใกล้จุดตัดศูนย์นั้น
ส่วนทรานซิสเตอร์อื่น
ๆ เช่น Q2 - Q5 ถูกต่ออยู่ในลักษณะของดิฟเฟอเรนเชียลแอมป์ หรือทำหน้าที่เป็นวงจรเปรียบเทียบระดับแรงดัน
โดยมีความต้านทาน R3 และ R4 เป็นตัวจ่ายกระแสให้แก่วงจรส่วนนี้ ขาอีมิตเตอร์ของ
Q4 ทำหน้าที่เป็นตัวขับกระแสเบสให้แก่ Q1 ซึ่งจะหยุดการทำงานได้ก็ต่อเมื่อจะต้องทำให้
แรงดันที่ขา 9 มีค่าเป็นบวกเมื่อเทียบกับแรงดันที่ขา 13 หรืออาจหยุดการทำงานของระบบได้โดยป้อนระดับแรงดันเป็นบวกให้แก่ขา
1 และ/หรือขา 14 จากภายนอกก็ได้เช่นกัน

รูปที่ 12 การใช้ CA3059
ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของไตรแอก
ในรูปที่
12 และ 13 ได้แสดงถึงการนำเอาไอซี CA3059 ไปใช้งานในการกระตุ้นการทำงานของไตรแอก
ในลักษณะควบคุมจากสวิตช์ที่ปิด / เปิดด้วยมือ ทั้งสองวงจรนี้ใช้สวิตช์ S1
ในการควบคุมการทำงานของ CA3059 โดยในวงจรรูปที่ 12 นั้น แรงดันที่ขา 9 จะมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของแรงดันที่ขา
2 เนื่องจากขา 9ฒ 10 และ 11 ถูกต่อเข้าด้วยกัน และความต้านทานภายในที่ขา
10 และ 11มีค่าใกล้เคียงกัน (ดูจากวงจรภายในของ CA3059 ในรูปที่ 11 ) ส่วนที่ขา
13 ถูกกำหนดแรงดันจากอัตราส่วนของความต้านทาน R2 และ R3 ที่ถูกควบคุมจากสวิตช์
S1 เมื่อ S1 นี้เปิดวงจรอยู่นั้นแรงดันที่ขา 13 จะมีค่าเป็นลบเมื่อเทียบกับขา
9 ซึ่งเป็นการหยุดการทำงานของ CA3059 แต่เมื่อ S1 ถูกปิดวงจรลงแรงดันที่ขา
13 จะเป็นบวกเมื่อเทียบกับขา 9 ดังนั้นไตรแอกจึงถูกกระตุ้นให้ทำงาน

รูปที่ 13 การต่อวงจรของ
CA3059 อีกรูปแบบหนึ่งที่มีการทำงานเช่นเดียวกับวงจรในรูปที่ 12
ส่วนวงจรในรูปที่
13 นั้น แรงดันที่ขา 13 จะมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของที่ขา 2 และขา 9 จะมีแรงดันขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของความต้าน
R2 และ R3 ที่ถูกควบคุมจากสวิตช์ S1 ซึ่งการต่อวงจรในลักษณะนี้จะทำให้การทำงานเป็นเช่นเดียวกับวงจรในรูปที่
12 นั่นคือ ไตรแอกจะถูกระตุ้นให้ทำงานในขณะที่สวิตช์ S1 ถูกปิดลง ในทั้งสองวงจรนี้สวิตช์
S1 จะมีแรงดันที่ตกคร่อมสูงสุดประมาณ 6 โวลต์ และกระแสไหลผ่านประมาณ 1 มิลลิแอมป์
และเนื่องจากผลของ C2 จึงทำให้เกิดการหน่วงเวลาแก่สัญญาณพัลส์ไปกระตุ้นเกต
ของไตรแอกให้เกิดขึ้นหลังจากจุดตัดศูนย์ผ่านไปเล็กน้อย
ขอให้สังเกตในรูปที่
13 นี้ ไตรแอกจะทำงานได้เมื่อสวิตช์ S1 ทำหน้าที่เป็นตัวต่อให้ความต้านทาน
R3 นี้เข้ากับจุดที่มีแรงดันต่ำ และเมื่อต้องการหยุดการทำงานของไตรแอกก็เพียงแต่ปล่อย
R3 นี้ให้ลอยไว้โดยไม่ต่อกับอะไร

รูปที่ 14 การใช้ทรานซิสเตอร์ในการควบคุมการทำงานของ
CA3059
รูปที่ 15 การใช้ออปโต้โซเลเตอร์ในการควบคุมการทำงานของ
CA3059
วงจรในรูปที่
14 และ 15 เป็นการนำเอาอุปกรณ์อื่นมาทำหน้าที่แทนสวิตช์ S1 โดยในรูปที่ 14
เป็นการใช้ทรานซิสเตอร์ Q1 ในการควบคุมการทำงานของไตรแอก และทรานซิสเตอร์นี้
สามารถควบคุมได้จากสัญญาณควบคุมระดับ 5 โวลต์ ส่วนในรูปที่ 15 เป็นการใช้ออปโต้ไอโซเลเตอร์
ซึ่งสัญญาณควบคุมระดับ 5 โวลต์ ส่วนในรูปที่ 15 เป็นการใช้ออปโต้โซเลเตอร์
ซึ่งสัญญาณควบคุมของทั้งสองวงจรนี้ อาจได้จากการป้อนแรงดันเข้าโดยตรง หรืออาจได้จากวงจรดิจิตอลทั่ว
ๆ ไปก็ได้

รูปที่ 16 การใช้ออปโต้โซเลเตอร์
ในการควบคุมการทำงานของ TDA1024
รูปที่
16 แสดงถึงการใช้งานของไอซี TDA1024 ในการกระตุ้นการทำงานของไตรแอก โดยควบคุมด้วยออปโต้ไอโซเลเตอร์
ซึ่งการทำงานเป็นเช่นเดียวกับ CA3059 คือใช้เทคนิคในการตรวจจับจุดตัดศูนย์ของสัญญาณไฟสลับที่ให้เช่นกัน
การใช้งานอีกแบบหนึ่งของ
CA3059 ที่ทำให้ไตรแอกสามารถทำหน้าที่เป็นสวิตช์ควบคุมการจ่ายไฟให้แก่โหลดโดยถูกกระตุ้นให้ทำงาน
เมื่อแสงดสว่างหมดไปหรือ แสงสว่างน้อยกว่าที่กำหนดได้แสดงไว้ในรูปที่ 17
และ 18 ในการออกแบบวงจรทั้งสองนี้ จะใช้ดิฟเฟอเรนเชียลแอมป์ที่อยู่ภายในของ
CA3059 นั้นทำหน้าที่เป็นตัวเปรียบเทียบ ระดับแรงดันเพื่อใช้ในการควบคุมการทำงานของไตรแอก

รูปที่ 17 วงจรกระตุ้นการทำงานเมื่อแสงสว่างหมดไป
วงจรในรูปที่
17 ทำหน้าที่เป็นสวิตช์ควบคุมธรรมดา โดยแรงดันที่ขา 9 มีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของแรงดันที่ขา
2 ส่วนแรงดันที่ขา 13 จะถูกควบคุมจากอัตราส่วน ของความต้านทาน R2 + VR1 และ
R3 + R4 ในที่นี้ R3 เป็นความต้านทานที่เปลี่ยนค่าไปตามความเข้มของแสงที่ตกกระทบตัวมัน
ซึ่งเรียกว่า LDR (Light Dependent Resistor) เมื่อแสงสว่างมาก R4 จะมีค่าลดลงทำให้แรงดันที่ขา
13 นี้มีค่าต่ำกว่าขาที่ 9 ดังนั้นไตรแอกจะไม่ทำงาน (หรือหยุดทำงาน)
ในทางกลับกันเมื่อแสงสว่างลดลงหรือหมดไป
R3 จะมีค่าสูง ดังนั้นแรงดันที่ขา 13 จึงมีค่าสูงกว่าที่ขา 9 ไตรแอกจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน
วงจรนี้สามารถปรับระดับ ความเข้มของแสงที่จะเป็นตัวกำหนดให้ไตรแอกทำงาน หรือหยุดทำงานได้โดยการปรับค่าความต้านทาน
VR1 ขอให้สังเกตว่าวงจรที่17 นี้ มีจุดทำงานอยู่ระดับเดียวนั่นคือ เมื่อความเข้มของแสงต่ำกว่าระดับนี้ไตรแอกจะทำงานแต่ถ้าสูงกว่าระดับนี้ไตรแอกจะหยุดทำงาน

รูปที่ 18 วงจรกระตุ้นการทำงานเมื่อแสงสว่างหมดไปอีกแบบหนึ่งที่มีฮิสเทอรีซิส
ส่วนวงจรในรูปที่
18 เป็นการดัดแปลงวงจรที่ทำให้ลักษณะการทำงานเป็นแบบฮิสเทอรีซิส (hysteresis)
นั่นคือระดับความเข้มของแสงที่จะทำให้ไตรแอกทำงานหรือ หยุดทำงานนั้นเป็นคนละระดับกัน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการทำงานผิดพลาดอันเนื่องมาจากมีเงามาบังแสงในช่วงเวลาสั้น
ๆ
|